แผนภาษีศุลกากรทั่วโลกฉบับแก้ไขของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ซึ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ส่งผลกระทบต่อลาวและเมียนมาอย่างหนักด้วยภาษีศุลกากร 40% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับสองของโลกรองจากซีเรียที่ 41%
ทําเนียบขาวไม่ได้อธิบายเหตุผล และการค้าของสหรัฐฯ กับทั้งสามประเทศนั้นมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับการค้ากับพันธมิตรอื่นๆ
เมียนมายังคงอยู่ภายใต้การคว่ําบาตรของสหรัฐฯ หลังจากการรัฐประหารในปี 2564 และ ลาวได้ดึงดูดการตรวจสอบ ของ สหรัฐฯ เนื่องจากความสัมพันธ์กับจีนกระชับยิ่งขึ้น ชื่งคาดว่า เป็นเหตุให้ประธานาธิบดีทรัมป์ ของสหรัฐฯ เรียกเก็บ อัตราภาษี สูงถึง 40เปอร์เซ็นต์ .
ในขณะเดียวกันซี เรียถูกลงโทษจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายใต้อดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แต่สหรัฐฯ พยายามผ่อนคลายข้อจํากัดเหล่านั้นนับตั้งแต่เขาถูกโค่นล้มในปี 2567.
การค้าทวิภาคีของ เมียนมา กับ สหรัฐฯ ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค มูลค่าของการค้าสองทางอยู่ที่ 588.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (759 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์) ในปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมีนาคม ลดลงจาก 701.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้า .
ส่วนลาว กับ สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับลาวมากกว่า 760 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปีที่แล้ว ทรัมป์มองว่าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ไม่สมดุลกัน , ลาวมีโรงงานเพียงไม่กี่แห่งซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเมืองหลวงที่จัดหาตลาด ในสหรัฐฯ และ ยอดขายคิดเป็นเพียงสามถึงหกเปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของประเทศ.
ท่าน Xaybandith ซึ่งเป็นรองประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว (LNCCI) กล่าวว่า โรงงาน 35 ถึง 40 แห่งอาจได้รับผลกระทบ หากผู้ซื้อหวาดกลัวกับภาษี “หากอัตราภาษียังคงอยู่ โรงงานบางแห่งจะปิดตัวลงอย่างแน่นอน” การหาตลาดทางเลือกต้องใช้เวลา การเจรจาต่อรอง และ ความพยายามอย่างมาก อาจใช้เวลาหลายปี.
ท่าน Xaybandith Rasphone หัวหน้าสมาคมอุตสาหกรรมเสื้อผ้าลาว กล่าวคาดว่าคนงานประมาณ 20,000 คนขึ้นไปอาจได้รับผลกระทบ จากอัตรา การ เก็บภาษี 40% ที่รุนแรงที่สุดสําหรับลาว
